เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ เม.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า ๒๗ เมษายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ใครเห็นบุญนะ.. ใครเห็นบุญกุศลเขาก็ตั้งใจทำนะ เขามีน้ำใจ เขาทำขึ้นมาเพื่อบุญกุศล เห็นไหม อิทธิพลในหัวใจของเรานี้เป็นอิทธิพลมืด มันปิดบังหัวใจ ปิดบังให้เราเวียนตายเวียนเกิดไปในวัฏฏะ แล้วไม่เข้าใจต่างๆ เลย

อิทธิพลมืดคือหัวใจไง ! มันปิดบังใจไว้นะ ไม่สามารถให้เข้าใจเรื่องชีวิตได้เลย มันเป็นอวิชชา คือความรู้ไม่จริง มันรู้ตามสภาวะของมัน แต่มันต้องรู้ตามสภาวะ รู้เฉพาะหน้า รู้ส่งออก รู้ว่าต้องการสิ่งใด ต้องการปรารถนาสิ่งใด แล้วต้องพยายามจะให้สมความปรารถนาสิ่งนั้น พยายามแสวงหาให้สมดังใจมัน

นั้นเห็นไหม นี่คืออิทธิพลมืด ทำให้ชีวิตต้องไสไปข้างหน้า ตามการบังคับบัญชาของความคิดของเรา มันมีอิทธิพลเหนือชีวิตของเราเห็นไหม อิทธิพลสว่าง ! ความที่สว่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มันเป็นอิทธิพลสว่าง มันเป็นอำนาจวาสนา

พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่จริตนิสัย โดดข้ามคลองอะไรต่างๆเป็นอิทธิพลสว่าง “อิทธิพล” คือ ความคิด ความขับไสไป ให้การกระทำนั้นเป็นความไม่มีอำนาจเหนือใจดวงนั้น เป็นแค่กิริยา สิ่งที่เป็นกิริยาคือการกระทำเฉยๆ ไม่มีกรรม !

แต่ของเรามีเจตนา มีความจงใจ มีความตั้งใจ ความจงใจ ความตั้งใจ ความแสวงหาอันนี้คือกิเลส คือเจตนาต้องการกระทำ แต่กิริยาของผู้ที่มีอิทธิพลสว่างเห็นไหม เป็นกิริยาเฉยๆ เป็นการดำรงชีวิตเฉยๆ เป็นผู้ที่ชนะตัวเองไง ชนะอิทธิพลในตัวเอง อิทธิพลในตัวเองนั้นไม่สามารถบังคับบัญชาตัวเองได้

แต่ถ้าอิทธิพลมืดของเรา เราพยายามของเรา เราเข้าใจ เราต้องการแสวงหา ทุกคนเกิดมาปรารถนาความดี อยากได้คุณงามความดี แต่คุณงามความดีของคนก็ไม่เหมือนกัน ความปรารถนาของคนก็ไม่เหมือนกัน ปรารถนาสิ่งต่างๆ ไปตามแต่อำนาจของความเคยใจไง

กิเลสความเคยใจนั้นคือปรารถนา บังคับให้ใจอยู่ใต้อิทธิพลอันนั้น อิทธิพลอันนั้นมีอิทธิพลในหัวใจ แล้วพาเกิดพาตาย สิ่งที่เกิดที่ตายในวัฏฏะเห็นไหม เราเกิดเราตายจะกี่ภพกี่ชาติ มันก็เหมือนใหม่ เพราะเราไม่สามารถระลึกอดีตชาติได้เลย

อดีตชาติ ! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้ธรรม บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกอดีตชาติได้ ไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีที่สิ้นสุด..

แล้วเขาก็ขุดค้นในโลกเห็นไหม ในฟอสซิลที่เขาขุดได้ มนุษย์เรามีกระดูกที่เป็นฟอสซิล แปดล้านปีก็มี เป็นกี่ล้านปี เป็นสิบล้านปี มันมีมาในโลกนี้ สิ่งที่มีมาในโลกนี้เห็นไหม มนุษย์เกิดตายมา แต่อำนาจของกรรมมันหมุนไป มันครอบงำใจ ถ้าเราปรารถนาสิ่งที่ว่ามันจะพ้นจากทุกข์ มันต้องทุ่มกันทั้งชีวิต ทำไมถึงมีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ทำไมมีผู้ที่ใช้ชีวิตในการดำรงชีวิต

ชีวิตพรหมจรรย์ ! ชีวิตพรหมจรรย์ คือ ชีวิตเพื่อจะชนะตนเอง ต้องเข้าป่าเข้าเขา ต้องธุดงค์เพื่ออะไร เพื่อให้เห็นความขัดข้องของใจไง ความปรารถนาของใจ เวลามันหิว เวลามันทุกข์มันยาก มันมีความน้อยเนื้อต่ำใจ เราทำไมต้องมาทุกข์มายาก ทำไมคนเขาใช้ชีวิตแบบปกติ เขาก็มีชีวิตของเขาได้ ทำไมเราต้องมาทุกข์มายากมาดัดแปลงตนเห็นไหม

ความดัดแปลงตนเพื่อจะเอาชนะตนเองไง ถ้าเอาชนะตนเองได้ อิทธิพลมันไม่สามารถชนะเราได้ การรบทัพจับศึก การชนะ การแสวงหา การชนะกัน ชนะขนาดไหน มันก็ชนะเท่ากับก่อกรรมก่อเวร มันสร้างอิทธิพลมืดต่อไป เพราะการก่อเวรก่อกรรมนั้น เป็นเวรเป็นกรรมที่จะต้องตอบสนองกันต่อไป

ถ้ามีเหตุแล้วมันต้องมีผล เหตุเกิดขึ้นมาจากการกระทำ เรากระทำสิ่งใดขึ้นมา เหตุมันมีแล้ว ผลมันจะตามมาเมื่อไร เราไม่สามารถรู้ได้เลย สิ่งที่เราไม่สามารถรู้ได้ นั่นล่ะมันมีอิทธิพลกับเรา อันนี้.. จิตดวงนี้มันถึงมีกรรมไง กรรมของใจไม่เหมือนกัน การกระทำของใจไม่เหมือนกัน ความปรารถนาก็ไม่เหมือนกัน

แต่ถ้าเราย้อนกลับเข้ามาเพื่อจะชนะเราเห็นไหม ออกประพฤติปฏิบัติ ออกธุดงค์ ออกแสวงหาโมกขธรรม มันต้องชนะตนเอง ความชนะตนเองความเล็กๆ น้อยๆ ความข้องใจ ความว่า “ทำไมเราต้องมาทุกข์อย่างนี้ !” มันคิดนะ.. เวลาเราปฏิบัติอยู่ในป่า ความคิดอย่างนี้มันจะมีมาทุกคน เพราะมันเป็นธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของกิเลสมันมีอยู่กับใจ

คนเราออกมาประพฤติปฏิบัติ เราก็เอากิเลสของเราออกมาด้วย เพราะกิเลสมันอยู่ที่หัวใจ ความเคยใจ อิทธิพลอยู่ที่หัวใจ มันติดตามใจไป แล้วเรามาประพฤติปฏิบัติ เราเอากายมาก่อน แล้วเราพยายามเอาชนะใจตัวเอง มันต้องพยายามข่มมันด้วยสติสัมปชัญญะ เห็นไหม ด้วยการทำความสงบของใจ เพราะใจมันสงบขึ้นมามันจะพอใจ.. มันพอใจว่าสิ่งนี้เป็นพยานยืนยัน คนเราหิวกระหายเหลือเกิน ได้ดื่มกินสิ่งใดเข้าไป มันจะเป็นพยานกับใจดวงนั้น

อันนี้ก็เหมือนกัน มันฟุ้งซ่าน มันคิดมาก มันน้อยเนื้อต่ำใจ เวลามันทำความสงบของใจขึ้นมา มันจะปลดเปลื้องสิ่งนี้ได้ มันเป็นปัจจัตตังไง ! มันรู้ขึ้นมาจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นได้รับสัมผัสสิ่งนี้ว่า อ๋อ.. สิ่งนั้นมีจริงๆ มันมีกำลังใจ เห็นไหม กำลังใจจะเกิดขึ้นมาจากว่า เราปฏิบัติธรรมแล้วสมความประโยชน์มัน มันมีความสุขขึ้นมา สุขในการประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่สุขแบบอามิส !

ความสุขของโลกเขาต้องมีสิ่งใดตอบสนอง แล้วมันถึงมีความสุขขึ้นมา พอใจขึ้นมา ตอบสนองสิ่งใด ก็ตอบสนองเพื่อความต้องการมากกว่านั้นขึ้นไปตลอดไป ตอบสนอง เห็นไหม.. อามิสต้องมีสิ่งตอบสนอง มันถึงจะมีความสุขได้ มีความพอใจได้

แต่บุญกุศลในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สมาธิธรรมมันเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน ความสุขที่หาได้ เงินก็ซื้อหาไม่ได้ ! สิ่งที่ความสุขในโลกที่เขาแสวงหากัน ใครตามทันขึ้นมา มันก็แสวงหาสิ่งนั้นได้ ตามทันได้ ความสุขเห็นไหม การจะไปที่ไหนก็แล้วแต่ มันแสวงหากันได้ มันทดแทนกันได้

แต่ความเป็นสมาธิธรรม มันเป็นปัจจัตตัง ! มันทดแทนกันไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของหัวใจ หัวใจดวงไหนก็ต้องเป็นใจดวงนั้นเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ ใจดวงนั้นเป็นผู้ที่จะทำให้อิทธิพลในหัวใจนั้นหมดออกไปจากใจ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงจะเป็นผู้ชี้ทางไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เพราะมันเป็น “ธรรมะโอสถ !”

สิ่งที่เป็นธรรมะโอสถ ...ศีล... สมาธิ... ปัญญา

ปัญญาในการใคร่ครวญ ในการค้นคว้า ในการพยายามจะต่อสู้กับกิเลส มันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา

แต่ปัญญาอย่างที่เราคิดเป็นปัญญาอย่างโลก ! เป็นปัญญาอย่างเรา เป็นวิชาชีพ เป็นความคิดของเรา จะมีปัญญาขนาดไหน จะฉลาดขนาดไหน จะมีความรู้ขนาดไหน ก็ตกอยู่ในอำนาจของอิทธิพลมืดหมดเลย

“อำนาจของอิทธิพลมืด” คือ ความเห็นของใจ มันควบคุมปัญญาอันนี้ ปัญญาอันนี้ ใช้ตามภาษามัน มันต้องทวนกระแสไง มันจะย้อนกลับขึ้นมา.. ย้อนกลับขึ้นมา ทวนกระแสเข้าไป... ทวนกระแสเข้าไป..เป็นการทำความสงบของใจ

“รอบรู้ในความคิดปัญญา” คือ ความรอบรู้ในกองสังขาร ความคิดที่เป็นปัญญาของเรา มันมีสติสัมปชัญญะเข้าไปรู้ทันอีกทีหนึ่ง เราคิดนี่คิดสิ่งใด ความคิดอันนี้มันคิดขึ้นมาได้ด้วยเหตุใด มันคิดขึ้นมาแล้วมันเป็นประโยชน์กับเราขนาดไหน ประโยชน์กับเราก็เป็นประโยชน์ความเป็นเครื่องอยู่อาศัย เห็นไหม ประโยชน์ในทางโลก โลกอยู่อาศัยกัน ชำระสิ่งนี้ อาศัยกัน สิ่งที่อาศัยก็เป็นของชั่วคราว

สิ่งที่อาศัย ! ถ้าเป็นคุณเป็นประโยชน์ มันก็เป็นการอาศัยกันเพื่อคุณประโยชน์ สิ่งที่อาศัยกันถ้ามันเป็นโทษล่ะ ถ้ามันเป็นโทษ เห็นไหม อย่างทางโลกเรามีเงินมีทองจับจ่ายใช้สอยเป็นทางประโยชน์ก็ได้... เป็นทางคุณก็ได้... เป็นไปทางโทษก็ได้

ถ้าเป็นทางโทษขึ้นมาล่ะ สิ่งนี้เป็นทางโทษ ถึงมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ศีลมาใคร่ครวญสิ่งนี้ ศีลมากำจัดสิ่งนี้ เพราะความมืดของเรา เราไม่เข้าใจว่ามันเป็นความถูกต้องหรือความผิดพลาด

ถ้าความพอใจของเรา เราก็จะถูกหมด ศีลก็มาบังคับสิ่งนี้ ศีลนี่มันเป็นรั้วกั้น.. ก่อนจะเข้าบ้านต้องผ่านรั้วก่อน จะเข้าบ้านของตัวเอง คือเข้าในสัมมาสมาธิไง เข้าไปถึงหัวใจของตัวเอง หัวใจของตัวเองคือสัมมาสมาธิ ! มันปล่อยวางสิ่งต่างๆ หมด ปล่อยวางรั้วกั้น เห็นไหม

สิ่งที่เป็นรั้วกั้น เป็นศีล เป็นอาการของใจ สิ่งที่เป็นอาการของใจ ความคิดเป็นแขกจรมา เดี๋ยวก็คิด เดี๋ยวก็ไม่คิด คิดแล้วก็ดับไป เดี๋ยวก็เกิดขึ้นมาใหม่ ความคิดที่ฝังใจคิดได้บ่อยมาก คิดขึ้นมาเท่าไรก็มีอารมณ์ทุกที สิ่งนี้มันเป็นที่ว่า ผ่านสิ่งนี้เข้าไปมันถึงเข้าบ้านได้ ถ้าใครเข้าบ้านได้จะมีความสุขมาก

ความสุขอันนี้ไม่ได้เกิดจากอามิส ความสุขอันนี้เกิดขึ้นมาจากหัวใจ สิ่งที่มีพลังงานอยู่ พลังงานของใจและพลังงานนี้ส่งออกไปทางโลกตลอดไป ไม่เคยทำกรรม ไม่เคยเป็นประโยชน์กับตัวเองขึ้นมาเลย ทำความสงบของใจขึ้นมา เป็นประโยชน์กับตัวเองขึ้นมา ตัวเองค้นคว้าตัวเองเจอ เห็นไหม

สิ่งที่ค้นคว้าตัวเองเจอเป็นสัมมาสมาธิ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ตั้งมั่น นั่นน่ะปัญญาของการปฏิบัติเกิดจากตรงนี้ ! เกิดจากสัมมาสมาธิ แล้วยกขึ้นวิปัสสนา... ยกขึ้นวิปัสสนาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม

สิ่งที่เป็นกาย เวทนา จิต ธรรม นี้มันเป็นการติดต่อ มันเป็นพื้นฐานรองรับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มันเกิดขึ้นมาจากไหน มันเกิดขึ้นจากตรงนี้ เกิดขึ้นจากภวาสวะ เกิดขึ้นจากเริ่มต้น

ฐานยิงของจรวด จรวดจะยิงออกไปจากที่ไหน ฐานยิงของความคิด ! ฐานยิงของความคิด ! ฐานยิงของความทุกข์มาจากไหน มาจากตรงนี้ ตรงสัมมาสมาธิ แล้วปัญญาเข้าไปใคร่ครวญตรงนี้ไง ย้อนกลับเข้าไปใคร่ครวญสิ่งนี้.. ย้อนกลับเข้าไปใคร่ครวญ มันติดข้องสิ่งใด ทำลายฐานมันให้ได้

ถ้าทำลายฐานมัน ความคิดไม่มีที่ยืนได้ ไม่มีภวาสวะ ฐานความคิดไม่มีความคิดจะเกิดได้อย่างไร ถึงจะเกิดขึ้นมาก็เหมือนอิทธิพลสว่างเห็นไหม เกิดดับตามสภาวะของมัน เพราะมันมีร่างกาย เราเป็นมนุษย์เราเกิดขึ้นมา สิ่งนี้มันมีธรรมชาติของมัน มันก็ต้องมีเกิดดับของมัน แต่ไม่ฐาน ไม่มีภวาสวะ

อวิชชาสวะ ภวาสวะ กามาสวะ สิ่งที่เป็นอาสวะเป็นอนุสัย มันลึกลับซับซ้อนได้ จะทำลายอิทธิพลของตัวเอง อิทธิพลนี่มีความคิด มืดหรือสว่าง ถ้าเป็นมืดเราก็อยู่ในโลกกระแสโลกออกไป เวียนไปวัฏฏะ เวียนตายเวียนเกิดตามวัฏฏะวนไป เวียนตามอำนาจของกิเลส อำนาจของกิเลสอิทธิพลมืดหมุนออกไป

ถ้าอิทธิพลสว่างทำลายขึ้นมา มันมีนะ.. รู้เหมือนกัน ความรู้เหมือนกัน รู้อันหนึ่งติด.. รู้อันหนึ่งยึด.. ยึดมาก.. ยึดในกระแสโลก แต่ความรู้อันหนึ่งรู้แล้วเห็นสลดสังเวชนะ สิ่งนี้เรารู้แล้วเราปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริง มันจะปล่อยวางนะ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เป็นเครื่องข้อง

ห่วงบุตร ห่วงภรรยา ห่วงทรัพย์สมบัติ บ่วงต่างๆ เห็นไหม ตราสังข์.. เวลามัดศพไว้นี่ใช้ตราสังข์ บ่วงนี้ติดอยู่ตลอดไป แล้วทุกศพที่เผาก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดในบ่วงอย่างนี้ตลอดไป

แล้วเราเห็นในของความเป็นบ่วงเห็นไหม มันสลดสังเวชว่าบ่วงอย่างนี้ บุรุษ สตรีต่างๆ ก็ต้องมาติดตรงนี้ ทุกคนต้องมาติดตรงนี้ แล้วเวียนตายเวียนเกิดตามสภาวะแบบนี้ แล้วมันเห็นสภาวะแบบนี้ มันปล่อยวางตามเป็นจริง มันสลดสังเวชไหม

นี่อิทธิพลสว่างก็รู้เหมือนกัน เห็นเหมือนกัน แต่เห็นแล้วมันปล่อยวาง เห็นแล้วมันสลดสังเวช มันปล่อยวาง มันเศร้าใจไง... เศร้าใจว่าชีวิตนี้มีเท่านี้ แต่เวลามันทำลายสิ่งต่างๆ หมดไปแล้ว ชีวิตนี้ประเสริฐมาก ชีวิตนี้เหมือนกัน

ชีวิตนี้คือไออุ่น... ชีวิตนี้คือตัวพลังงานของใจ…

สิ่งที่เป็นพลังงานของใจ มันเป็นจิตปฏิสนธิ.. ปฏิสนธิวิญญาณตัวนี้พาเกิดพาตาย สิ่งนี้พาเกิดพาตายมาตลอด แล้วตัวนี้จะเป็นตัวเกิดตัวตายตลอด แล้วสภาวะความทุกข์มันต้องซับลงที่นี่ตลอดเลย เพราะหัวใจเป็นตัวรับความทุกข์อันนี้

แล้วอิทธิพลสว่าง เห็นไหม สลดสังเวช ! มันเข้าใจแล้วมันปล่อยวาง จะไม่มีอิทธิพลอันไหนจะเข้ามามีอำนาจเหนือใจดวงนี้ได้เลย ชีวิตนี้ถือว่าเป็นชีวิตประเสริฐไง ชีวิตนี้ถึงปล่อยวางจากโลกนี้ได้หมดไง ปล่อยวางจากสภาวะตันต่างๆ ไม่มีอำนาจสิ่งใดจะเหนือจากจิตดวงนี้ จิตดวงนี้ปล่อยวางไป

อิทธิพลสว่าง อิทธิพลมืด อยู่ในหัวใจของเรา เรามีธรรม.. ธรรมคือสภาวธรรม ศาสนธรรมคำสั่งสอนมันมีอยู่ ถ้าเราดัดแปลงตน จากมืดมันจะเป็นสว่าง มันจะสลัวๆ ไปก่อน จะเห็นสภาวะตามเป็นจริงในหัวใจ แล้วจะสว่างขึ้นมากลางหัวใจ มันแปลกประหลาด มันมหัศจรรย์ มันลึกลับซับซ้อนมาก เกิดจากศีล สมาธิ ปัญญา เกิดจากทาน ศีล ภาวนา

ถ้ามีทาน เห็นไหม เราสละทานออกไป หัวใจมันเจตนา มันสะเทือนกัน มันสะเทือนถึงหัวใจ เพราะหัวใจต้องสละออก หัวใจต้องแสวงหา ต้องทำ การสละทาน ! ข้าวของ สิ่งของ มันไปวัดไม่ได้ ต้องอาศัยคนพาไป คนจะไปได้ต้องมีเจตนา คนมีเจตนาต้องมีหัวใจ สิ่งที่หัวใจมันขับเคลื่อนไป เห็นไหม นั่นล่ะทาน ศีล ภาวนา เกิดจากสิ่งนี้

อิทธิพลมืดมามันต้องทำลายไปด้วยทาน ศีล ภาวนา แล้วมันจะสว่างขึ้นมา.. สว่างขึ้นมา จนถึงที่สุดแล้วเป็นเอกเทศ เป็นสิ่งที่ว่าไม่เกาะเกี่ยวกับสามโลกธาตุ สลดปลดเปลื้องออกไปจากกิเลสทั้งหมด เอวัง